ในทางนิกายมหายานและนิกายอื่น ๆ ของ ธรรมกาย

มหายาน แต่เดิมคือนิกายมหาสังฆิกะแยกออกจากเถรวาทเมื่อครั้งสังคายนาครั้งที่ 2 (พ.ศ. 100)และพัฒนามาเป็นมหายานในสมัยต่อมา โดยยึดตามคำสอนของครูอาจารย์รุ่นหลัง พัฒนากายอีกหนึ่งกาย ขึ้นจากกายในเถรวาทที่มีเพียงสองกาย เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งกายคือสัมโภคกาย เป็นแนวคิดตรีกายเป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย และธรรมกาย

ธรรมกาย ในมหายานกล่าวว่าธรรมกายเป็น กายที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เป็นแก่นแท้ เป็นสัจจธรรม ที่ดำรงอยู่ไม่มีวันสลาย เป็นกายหนึ่งในสามของพระพุทธเจ้าและมีความสำคัญอย่างสูงสุด ไม่สามารถองเห็นได้ ไร้ลักษณะ เป็นอจินไตย(ไม่สามารถนึกหรือคาดเดาได้) มีความเป็นเช่นนั้นเอง(ตถตา) เป็นอมลวิญญาณ(จิตเดิมจิตแท้ของสรรพชีวิต) ทั้งนี้เพราะเป็นอสังขตธรรม พ้นแล้วจากเหตุปัจจัย จึงไม่เกิด และเมื่อไม่มีการเกิดจึงไม่มีการตาย ไม่สะอาด ไม่สกปรก เสมอภาค ไม่เพิ่มลด ไม่ใช่รูปและนาม เป็นอนัตตา (ไม่มีตัวตน) ด้วยเหตุนี้ แม้มี (อมลวิญญาณ) ก็เหมือนไม่มี แม้จะว่าไม่มีแต่ก็มี เป็นศูนยตา (ความว่าง) ที่แท้จริง[2] มีความเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง ไม่มีการแบ่งแยก พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ[3] และธรรมกายยังสัมพันธ์กับเรื่องราวของ ตถาคตครรภ์ ,พุทธภาวะ, นิรวาณ(นิพพาน),ศูนยตา,ธรรมธาตุ

ไวพจน์ของคำว่าธรรมกาย

ไวพจน์หรือคำที่ต่างรูปแต่มีความหมายคล้ายคลึงกัน สำหรับคำว่าธรรมกายนั้น มีไวพจน์ เช่น ศูนยตา(สุญญตา) ,ตถาคตา,ยถาภูตตา, นิรวาณ(นิพพาน) ,สัสสตา,สทิสตา,สัจจตา,นิโรธ, ธรรมธาตุ , พุทธกาย , ตถาคตกาย, พุทธตา, ธัมมตาพุทธ,ตถาคตคัพภ์ ,จิต และ อาลยวิญญาณ(จิตเดิมแท้) เป็นต้น

แนวคิดเรื่องตรีกาย

ในทางพุทธศาสนามหายานมีแนวคิดเรื่องกายของพระพุทธเจ้านั้นแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ

  1. นิรมาณกาย คือกายมนุษย์เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ โดยบุคลาธิษฐานเป็น พระศรีศากยมุณีพุทธเจ้า (พระโคดม)เป็นการเนรมิตขึ้นจากสัมโภคกาย
  2. สัมโภคกาย คือกายที่รุ่งโรจน์และปรากฏแสดงอยู่เพื่อเทศนาธรรม แก่บรรดาพระโพธิสัตว์หรือพระอริยะเจ้าในสภาวะที่เรียกวา กายทิพย์ ซึ่งปุถุชนทั่วไปมิอาจเห็นได้ มีบุคลาธิษฐานเป็น พระโลจนพุทธะ และยังมีสัมโภคกายอื่นๆด้วยเช่น พระอมิตาภพุทธะ ประทับอยู่ในแดนสุขาวดีพุทธเกษตร พระไภษัชยคุรุ ประทับอยู่ในแดนศุทธิไวฑูรย์ เป็นต้น
  3. ธรรมกาย คือ กายที่แท้จริงไร้ลักษณะว่าเป็นอย่างไร ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตนได้ โดยบุคลาธิษฐานเป็น พระไวโรจนพุทธะ ธรรมกายนี้เป็นพระพุทธเจ้าตามความเชื่อของพุทธศาสนา นิกายมหายานและวัชรยานอีกด้วย ไม่มีความเกิด ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย สภาพสูงสุดแห่งหลักความรู้ ความกรุณา และความสมบูรณ์ แผ่คลุมอยู่ทั่วไป มีสภาวะครอบคลุมทุกสิ่ง และธรรมกายเป็นกายที่สร้างอีกสองกายขึ้นมาด้วย

พระธรรมกายพุทธเจ้า

พระธรรมกายพุทธเจ้า(法身佛) คือพระนามหนึ่งของพระไวโรจนพุทธะ ผู้เป็นอาทิพุทธะ หรือพระปฐมพุทธเจ้าตามความเชื่อของพุทธศาสนานิกายมหายานและวัชรยาน หรือในอีกหลายพระนามเช่น พระมหาไวโรจนะประภาพุทธเจ้า(大毘盧遮那遍照佛) พระมหาสูรยตถาคต(大日如來) มีความหมายโดยรวมว่า พระพุทธเจ้าทรงมีกายคือธรรม (ธรรมกาย) ที่ส่องสว่างด้วยรัศมีแห่งปัญญาญาณ ฉายส่องไปทั่วธรรมธาตุโดยไร้สิ่งกีดขวาง และพระไวปุลยกายพุทธเจ้า (廣博身佛) หมายถึง พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระวรกายกว้างขวางไพบูลย์ (ครอบคลุมซึ่งสรรพสิ่ง)

พระธรรมกายพุทธเจ้ามีความเป็นเอกภาพเท่านั้นและพ้นจากสิ่งที่ปรุงแต่งเป็นสภาพไม่ปรุงแต่งอันแท้จริง ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ตัวตนอันโป้ปดมดเท็จ มีความเป็นศูนยตา(ว่างจากตัวตน)อย่างแท้จริง และด้วยความไร้รูปตัวตนนี้จึงสามารถแทรกซึมไปได้ทุกส่วนของจักรวาล และเป็นกายที่แท้จริงของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล

พระธยานิพุทธะ

ความเชื่อในพระพุทธเจ้าของฝ่ายมหายานและฝ่ายเถรวาทมีเนื้อหาสรุปย่อๆ ได้ดังนี้ ฝ่ายมหายานเชื่อว่า อาทิพุทธ (ชื่อพระพุทธเจ้า) เป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นพร้อมกับโลก หรือเรียกว่า ธรรมกาย เป็นต้นกำเนิดแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งจักรวาลที่เรียกว่า พระธยานิพุทธะ

พุทธศาสนตามแบบนิกายวัชรยาน พระธยานิพุทธะ จะประกอบด้วยพระพุทธเจ้าที่สำคัญ 5 พระองค์คือ

  1. พระไวโรจนพุทธะ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ มหาสุริยประภา พระปฐมพุทธะ
  2. พระอักโษภยพุทธะ
  3. พระอโมฆสิทธิพุทธะ
  4. พระรัตนสัมภวพุทธะ
  5. พระอมิตาภพุทธะ

พุทธศาสนาแบบมหายาน(แบบจีน, ญี่ปุ่น และ เกาหลี) จะประกอบด้วยพระธยานิพุทธะคือ พระอมิตาภพุทธะ หรือบางแห่งอาจจะนับถือ พระไวโรจนพุทธะ โดยถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าสูงสุด ไม่เหมือนอย่างในนิกายวัชรยาน ของเนปาลและธิเบตที่ถือว่าพระธยานิพุทธเจ้าที่สำคัญนั้นมี 5 พระองค์[4]

พระปฏิมาของพระไวโรจนะพุทธเจ้า

ธรรมกาย ในที่นี้หมายถึง ตัวแทนของความจริงสากล เป็นตัวแทนของอากาศธาตุ (ช่องว่างในจักรวาล ในความหมายที่น่าจะพ้องกับฝ่ายเถรวาทก็คือ การไม่มีตัวตน)ธรรมกายนั้นมีความหมายอีกประการหนึ่งก็คือ พระพุทธเจ้านั้นมีกายคือ ธรรมะ คือความจริงในฝ่ายมหายานนั้น กำหนดพุทธศิลป์รูปแบบของพระไวโรจนะ(พระธรรมกาย)ในความหมายของความจริงก็คือ ความไม่มีตัวตน มีลักษณะเป็นกายภาพ ที่มีสีขาวเป็นสัญลักษณ์ รัศมีธรรมเป็นสีน้ำเงินอ่อน ประทับอยู่ในท่าธรรมจักรพุทธาที่แสดงโดยนิ้วพระหัตถ์มาวงล้อมกัน อันหมายถึงกงล้อธัมมจักกัปปวัตนสูตรหรือความจริงแท้ คือความไม่มีตัวตน ที่ยังคงหมุนอยู่ตลอดเวลาท่านั่งขัดสมาธิทรงเครื่องจักรพรรดิ เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความกล้าหาญ มีความหมายถึงความจริงแท้ ความไม่เป็นตัวตน (ต่อมาฝ่ายเถรวาทถอดมาเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ)เสียงประจำพระองค์คือ โอม เสียงที่หมายถึงความว่าง ซึ่งหมายถึงความไม่มีตัวตน[5]

คำสอนเรื่องธรรมกายของคณาจารย์นิกายเซน

เว่ยหล่าง(พระสังฆปริณายกแห่งนิกายเซนองค์ที่ 6)

禪-ฉาน(ธฺยาน,ฌาน,เซน)

“….อาตมาก็จะได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายถึงเรื่องตรีกายของพระพุทธเจ้าแห่งจิตเดิมแท้สืบไป เพื่อท่านทั้งหลายจะสามารถเห็นกายทั้งสามนี้ และจะเห็นแจ้งในจิตเดิมแท้อย่างชัดเจน จงตั้งใจฟังให้ดี และว่าตามดังๆ พร้อมกันทุกคนเหมือนที่อาตมาจะว่านำ “ด้วยกายเนื้อของเรานี้ เราขอถือที่พึ่งในธรรมกายอันบริสุทธิ์ (คือกายแก่น)ของพระพุทธเจ้า…”

ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย กายเนื้อของเรานี้ อาจเปรียบได้กับโรงพักแรม, ดังนั้นเราจึงไม่สามารถยึดเอาเป็นที่พึ่ง, ในภายในจิตเดิมแท้ของเรา เราอาจหาพบกายทั้งสามนี้ และเป็นของสาธารณะทั่วไปสำหรับทุกคน แต่เนืองจากใจ (ของคนธรรมดาสามัญ) ทำกิจอยู่ด้วยความรู้ผิด เขาจึงไม่ทราบถึงธรรมชาติแท้ในภายในกายของเขา ผลจึงเกิดขึ้นมีว่าเขาไม่รู้จักตรีกายภายในตัวของเขาเอง (มิหนำซ้ำยังเชื่อผิด) ว่าตรีกายนั้น เป็นสิ่งที่แสวงหาจากภายนอก, ท่านจงตั้งใจฟังเถิด อาตมาจะแสดงให้เห็นว่าตัวท่านเอง ท่านจะพบกายเป็นปรากฏการณ์ อันแสดงออกของจิตเดิมแท้ อันเป็นสิ่งไม่อาจพบได้จากภายนอก…”

“จิตเดิมแท้ของเราเป็นของบริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงการแสดงออกของจิตนี้ กรรมดีกรรมชั่วเป็นเพียงผลของความคิดดีและคิดชั่วตามลำดับฉะนั้น ภายในจิตเดิมแท้ สิ่งทุกสิ่ง (ย่อมบริสุทธิ์จริงแท้) เหมือนกับสีของท้องฟ้ากับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งเมื่อเมฆผ่านมาบัง ความแจ่งนั้นดูประหนึ่งว่า ถูกทำให้มัวไป แต่เมื่อเมฆเคลื่อนไปแล้ว ความแจ่มแจ้งกลับมาปรากฏอีก และสิ่งต่างๆ ก็ได้รับแสงมาส่องมาเต็มอย่างเดิม. ….จิตชั่วเปรียบกับเมฆ ความรู้แจ้งแทงตลอดและปัญญาของเราเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ตามลำดับ เมื่เราพัวพันอยู่กับอารมณ์ภายนอก จิตเดิมแท้ของเรา ก็ถูกบดบังไว้ ด้วยความรู้สึกที่ติดรสของอารมณ์ ซึ่งย่อมจะปิดกั้นความรู้แจ้งแทงตลอดและปัญญาของเราไว้มิให้ส่องแสงออกมาภายนอกได้

แต่เผอิญเป็นโชคดีแก่เราอย่างเพียงพอที่ได้พบกับครูผู้รอบรู้ละอารีที่ได้นำธรรมะอันถูกต้องตามธรรมาให้เราทราบ จึงสามารถกำจัดอวิชชาและความรู้ผิดเสียได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา จนถึงกับเราเป็นผู้รู้แจ้งสว่างไสวทั้งภายในและภายนอก และธรรมชาติแท้ของสิ่งทั้งปวงปรากฏตัวมันเออยู่ในภายในจิตเดิมของเรา นี่แหละคือสิงที่บังเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ได้เผชิญหน้ากันกับจิตเดิมแท้ และนี่แหละคือสิ่งซึ่งเรียก ธรรมกายอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า…”

ฮวงโป

“ธรรมกายที่แท้จริงของพุทธะ ย้อมเหมือนความว่าง เป็นวิธีกล่าอีกอย่างหนึ่งที่จะกล่าวว่า ธรรมกายคือความว่าง หรือความว่างคือธรรมกาย ก็ตาม คนทั้งหลายมักอวดอ้างว่า ธรรมกาย มีอยู่ในความว่าง และ ความว่าง บรรจุไว้ซึ่ง ธรรมกาย นี้เป็นเพราะเขาไม่รู้แจ้งเห็นจริงว่า สิ่งทั้งสองนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวและอันเดียวกัน แต่ถ้าพวกเธอจำกัดความลงไปว่า ธรรมกายนั้น เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่ความว่าง ...”

“คำทั้งสองนี้ ไม่แตกต่างจากกันและกันเลย หรือนัยหนึ่งก็คือไม่มีความแตกต่างใดๆ ในระหว่างสามัญสัตว์ทั้งปวงกับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือระหว่างสังสารวัฏกับพระนิพพาน หรือระหว่างโมหะกับโพธิ…”

“พุทธะองค์หนึ่งๆ มี 3 กาย โดยคำว่า ธรรมกาย ย่อมหมายถึง ธรรมะ(ธรรมดา)ของธรรมกายนั้น ไม่อาจจะแสวงหาได้โดยทางการพูดหรือโดยทางการฟัง หรือโดยทางหนังสือ ไม่มีอะไรที่อาจจะพูด หรือทำให้เป็นลายลักษณ์อัหษรเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ มีอยู่ก็แต่ความว่างแห่งสภาวะธรรมดาที่แท้จริงของทุกสิ่งทุกสิ่ง ซึ่งเป็นอยู่เองอันมีอยู่ในทุกที่ทุกหนทุกแห่ง และไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นอีก…”

นิกายชินงอน

ธรรมกายในนิกายชินงอน

นิกายชินงอนหรือชินกอนเป็นนิกายหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นตามแบบพุทธศาสนาลัทธิตันตระและได้รวมเอาความเชื่อของลัทธิชินโตเข้าไว้ด้วย โดยนิกายชินงอน เห็นว่า ธรรมกายเป็นตัวตน(อัตตา) เป็นการแสดงตัวของสงสาร และเป็นเครื่องป้องกัน มนุษย์จากการกระทำชั่ว โดยการชอบธรรมให้ ธรรมกายไม่ใช่การปราศจากตัวตนและเหนือธรรมชาติ ธรรมกายไม่ใช่ไร้รูป แต่เป็นแก่นสารที่แท้จริง เป็นความจริงและเที่ยงแท้ ธรรมกายเป็นศูนย์รวมของจักรวาล ธรรมกายแสดงออกเป็นตัวตนได้ในโลกนี้และโลกอื่นๆ ธรรมกายเป็นการตรัสรู้ภายในร่างกายของพระพุทธเจ้า สำหรับคนที่เต็มไปด้วยอวิชชาธรรมกายจะปราศจากรูป แต่สำหรับคนที่เข้าใจและมีปัญญาธรรมกายจะมีตัวตน ซึ่งธรรมกายในชินงอนแตกต่างจากทรรศนะของพุทธศาสนาโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

หลักฐานคัมภีร์มหายาน

พระไตรปิฎกภาษาจีน

มัญชุศรีปรัชญาปารมิตาสูตร (文殊師利所說般若波羅蜜經)

爾時世尊告文殊師利:「汝今真實見如來乎?」文殊師利白佛言:「世尊!如來法身本不可見,我為眾生故來見佛。佛法身者不可思議,無相無形,不來不去,非有非無,非見非不見,如如實際,不去不來,非無非非無,非處非非處,非一非二,非淨非垢,不生不滅。我見如來亦復如是。」

พระผู้มีพระภาคตรัสกะพระมัญชุศรีว่า “บัดนี้ เธอได้เห็นตถาคตอย่างแท้จริงหรือไม่?” พระมัญชุศรีทูลว่า “พระผู้มีพระภาค! ธรรมกายแห่งพระตถาคตแต่เดิมมาก็ไม่อาจเห็นได้ เพื่อสรรพสัตว์เป็นเหตุข้าพระองค์จึงมาทัศนาพระพุทธองค์ ธรรมกายของพระองค์นั้นเป็นอจินไตย(นึกคิดเอาไม่ได้) ไร้ลักษณะ ไร้รูปร่าง มิได้มาแลมิได้ไป มิใช่มีแลมิใช่ไม่มี มิใช่เห็นแลมิใช่ไม่เห็น ดั่งตถตา (ความเป็นไปอย่างนั้นเอง) ที่ไม่ได้มาและไม่ได้ไป มิใช่การปราศจาก และมิใช่การไม่ปราศจาก มิใช่สถานที่แลมิใช่การไม่ใช่สถานที่ มิใช่การเป็นหนึ่ง มิใช่การเป็นสอง มิใช่ความบริสุทธิ์ มิใช่มลทิน ไม่เกิดไม่ดับ ข้าพระองค์ทัศนาพระตถาคตอยู่อย่างนี้พระเจ้าข้า

พระวิศวภัทร เสี่ยเกี๊ยก.มัญชุศรีปรัชญาปารมิตาสูตร,2553

ธรมธาตุปรกฤตยอวตารสูตร (入法界體性經)

文殊師利。所言佛者。即是法界。於彼諸力無畏。亦是法界。文殊師利。我不見法界有其分數。我於法界中。不見此是凡夫法。此是阿羅漢法。辟支佛法。及諸佛法。其法界無有勝異。亦無壞亂。文殊師利。譬如恒河。若閻摩那。若可羅跋提河。如是等大河入於大海。其水不可別異。如是文殊師利。如是種種名字諸法。入於法界中無有名字差別。

มัญชุศรี อันคำว่า พุทธะก็คือ ธรรมธาตุ ในบรรดาพละ เวสารัชชะทั้งหลาย ก็คือธรรมธาตุมัญชุศรี ตถาคตไม่เห็นธรรมธาตุว่ามีการแบ่งคำนวณนับ ท่ามกลางธรรมธาตุ ตถาคตไม่เห็นว่าสิ่งนี้คือบุถุชนธรรม ว่านี้คืออรหันตธรรม ว่าสิ่งนี้คือปัจเจกพุทธธรรมและว่าคือพุทธธรรมทั้งปวง ธรรมธาตุนั้นไร้ซึ่งความดีเลิศหรือแตกต่าง จึงไม่มีการเสื่อมสลายแปรปรวน มัญชุศรี อุปมาแม่น้ำาคงคา หรือแม่น้ำยมนา หรือแม่น้ำาอิราวตี อันมหานทีเหล่านี้ที่ไหลสู่มหาสมุทร ชลวารีนั้นก็ไม่อาจจำแนกความต่างอย่างนี้แหละมัญชุศรี บรรดานามอักษรนานาของธรรมทั้งปวง ก็ไหลสู่ธรรมธาตุ ปราศจากซึ่งความต่างของนามอักษร อย่างนี้

文殊師利。譬如種種諸穀聚中不可說別。是法界中亦無別名。有此有彼。是染是淨。凡夫聖人及諸佛法。如是名字不可示現。如是法界如我今說。如是法界無違逆如是信樂。何以故。文殊師利。其逆順界法界無二相故。無來無去。不可見故。無其起處。

มัญชุศรี อุปมาบรรดาธัญญาพืชนานาที่รวมกันอยู่ก็ไม่อาจกล่าวว่าต่างกัน ท่ามกลางธรรมธาตุจึงไร้ซึ่งนามที่ต่างกัน ว่ามีสิ่งนี้ มีสิ่งนั้น เป็นสิ่งสกปรก เป็นสิ่งสะอาด บุถุชน อริยบุคคล และพุทธธรรมทั้งปวง ก็ไม่อาจปรากฏนามอักษรอย่างนี้ ธรรมธาตุก็ดั่งที่ตถาคตกล่าวอยู่บัดนี้อย่างนี้ ธรรมธาตุปราศจากความขัดแย้งอยู่อย่างนี้ เป็นอัธยาศัยอยู่อย่างนี้ เหตุไฉนนั้นฤๅ มัญชุศรี เพราะธาตุคือความเป็นสิ่งที่ขัดแย้งหรือ อนุโลมตามธรรมธาตุนั้น ปราศจากทวิลักษณะ ไร้การมา ไร้การไป เหตุที่ไม่อาจพบเห็น จึงปราศจากสถานที่เกิดขึ้นของสิ่งนั้น

พระวิศวภัทร เสี่ยเกี๊ยก.ธรฺม-ธาตุ -ปรกฺฤตย-อวตาร-สูตฺร,2554

คัมภีร์วิมลเกียรตินิทเทสสูตร

ได้กล่าวถึงพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าว่า “ก็คือกายแห่งอากาศ มิเกิดขึ้นและมิได้มิเกิด ไร้รูปลักษณ์และมิได้ไร้รูปลักษณ์ ก้าวล่วงการเปรียบเทียบของภพทั้งสามและหาคำพรรณนาสรรเสริญใดมาเทียบเท่าเห็นไม่มี… ฯลฯ”

พระพุทธเจ้าทั้งปวง ด้วยจากการแสดงของปัจจัยแห่งการเกิดและดับของสรรพสิ่ง จึงให้รู้แจ้งว่า “ปัจจัยนั้นล้วนเกิดขึ้นแต่ความอนัตตา” อันเมื่อสัตยธรรมจริงแท้เป็นเช่นนี้ ก็ย่อมวางเฉยในรูปร่างที่โป้ปดหรือคือสิ่งที่หลอกลวงได้ แล้วเข้าสู่ศูนยตาภาววิสัยอันมิเกิดขึ้นและมิดับสูญ อาศัยธรรมภาวะหรือธรรมธาตุว่าคือกาย ที่ไร้รูปและไร้ลักษณ์

พระวิศวภัทร เสี่ยเกี๊ยก. พระพุทธเจ้าฝ่ายมหายาน.พิมพ์ครั้งที่ 1 .2549

คัมภีร์อวตังสกะสูตร

“อันธรรมธาตุแต่เดิมนั้นว่างเปล่า มิอาจยึดถือแลมิอาจพบเห็นสภาวะที่ว่างเปล่านั้นแลคือพระพุทธะ ซึ่งมิอาจตรึกคิดคาดประมาณ”

พระวิศวภัทร เสี่ยเกี๊ยก. พระพุทธเจ้าฝ่ายมหายาน.พิมพ์ครั้งที่ 1 .2549

คัมภีร์มหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์

“ครั้งหนึ่งเมื่อพระศากยมุนีพุทธเจ้าประทับยังดาวดึงส์เทวโลกแล้วประทานพระธรรมเทศนาเสร็จสิ้นแล้ว คราที่พระองค์เสด็จนิวัติสู่โลกมนุษย์นั้น บรรดามหาชนทั้งปวงล้วนเฝ้ารอรับเสด็จ มีเพียงแต่พระสุภูติเถรเจ้าเท่านั้นที่เร้นกายในพนาวาส นั่งพิจารณาสรรพพุทธธรรมทั้งปวงว่าล้วนแต่มีความศูนย์โดยสภาพ พระศากยมุนีทรงทราบด้วยพระญาณแล้วจึงตรัสกับผู้ที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า สุภูติเป็นผู้ได้อภิวาทเราตถาคตเป็นคนแรก เหตุเพราะว่าสุภูตินั้นได้พิจารณาธรรมทั้งปวงว่าเป็นศูนยตา นี่แหละจึงเรียกว่าได้พบธรรมกายของพระพุทธเจ้า ได้ถวายสักการะอย่างแท้จริง อันเป็นการบูชาที่ประเสริฐสุดแล”

“หากเพ่งพิศพระพุทธะด้วยรูปลักษณ์ นั้นคือพบเพียงลักษณะมายา หากพิจารณาพระพุทธะด้วยธรรม ย่อมได้ประสบพระพุทธะที่แท้จริง”

พระวิศวภัทร เสี่ยเกี๊ยก. พระพุทธเจ้าฝ่ายมหายาน.พิมพ์ครั้งที่ 1 .2549

คัมภีร์มหายานสูตราลังการสูตร

ธรรมกาย สัมโภคกาย นิรมาณกาย เหล่านี้คือกายของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ธรรมกายเป็นมูลฐานของสัมโภคกายและนิรมาณกาย สัมโภคกายในโลกทั้งปงและจักรวาลนั้น แตกต่างกันไปตามภูมิภาค แตกต่างกันในชื่อ รูปร่าง และประสบการณ์ในปรากฏการณ์ แต่ธรรมกายที่เป็นเอกรูปและสุขุมนั้นมีอยู่ในสัมโภคกาย และโดยอาศัยธรรมกายนี้ สัมโภคกายก็สามารถควบคุมของตนได้ ในเมื่อธรรมกายสำแดงตนให้ปรากฏได้ตามประสงค์ นิรมาณกายย่อมเปิดเผยด้วยการเกิดที่ชำนาญ ด้วยการตรัสรู้พระนิพพาน เพราะนิรมาณกายมีอำนาจลึกลับที่จะนำมนุษย์ไปสู่การตรัสรู้อยู่มาก กายของพระพุทธเจ้าทั้งหลายประกอบด้วยสามกายนี้

พระมหาไสว โชติโก . การศึกษาวิเคราะห์ธรรมกายในพุทธศาสนา . วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต . มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,2542

ลังกาวตารสูตร

ครั้งนั้นท่านมหามติโพธิสัตว์มหาสัตว์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ได้ตรัสถึงสิ่งที่เรียกว่าตถาคตครรภะเสมอในพระสูตรทั้งหลาย พระองค์ทรงอธิบายว่า สิ่งที่เรียกว่าตถาคตครรภะนั้นบริสุทธิ์ผ่องใสโดยธรรมชาติ ตถาคตครรภะนี้เดิมทีนั้นไร้มลทินประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ซ่อนอยู่ในร่างกายของสรรพสัตว์ อุปมาดังรัตนชาติมูลค่ามหาศาลที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสกปรก ตถาคตครรภะนี้ก็ฉันนั้น ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคือขันธ์ ธาตุและอายตนะ ถูกทำให้สกปรกด้วยธุลี คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง และความนึกคิดที่ผิดๆพระองค์ยังทรงบรรยายลักษณะของตถาคตครรภะนี้ว่า เป็นสิ่งนิรันดร์ ยั่งยืนถาวร และมาสามารถเปลี่ยแปลงได้ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !หากคถาคตครรภะเป็นดังที่พระองค์ตรัสมานี้ ตถาคตครรภะจะต่างจากอาตมันที่นักปราชญ์ทั้งหลาย พูดกันอย่างไร อาตมันที่สอนกันในสำนักปรัชญาเหล่านั้นคือ ผู้สร้างนิรันดร์ เป็นอมตะ หาสิ่งใดเทียบได้ แทรกอยู่ในสรรพสิ่ง และไม่มีใครทำลาย

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่หรอกมหามติ ! สิ่งที่เราเรียกว่าตถาคตครรภะเป็นคนละอย่างกับอาตมัน ที่นักปรัชญาทั้งหลายพูดถึง มหามติ ! พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมสอนว่า สิ่งที่เรียกว่าตถาคตครรภะนี้คือสุญญตา (ความว่าง) นิพพาน (ความดับเย็น) เป็นสิ่งที่ไม่เกิด ไม่สามารถระบุคุณสมบัติได้… มหามติ ! เราหวังว่า ปวงโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งในปัจจุบันและอนาคตไม่ยึดถือความคิดว่าเป็นอาตมัน

พระมหาไสว โชติโก . การศึกษาวิเคราะห์ธรรมกายในพุทธศาสนา . วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต . มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,2542

คัมภีร์อื่นๆ

  1. สูตรเว่ยหล่าง

ธรรมกายเป็นสิ่งที่เต็มเปี่ยมและสงบ ตัวแท้และการทำหน้าที่ของธรรมกายย่อมอยู่ใน “ภาวะคงที่เสมอ” ขันธ์ทั้งห้าเป็นของว่างโดยแท้จริง และอายตนะภายนอกทั้งหก เป็นของไม่มีอยู่ในสมาธิไม่มีการเข้า ไม่มีทั้งการออก ไม่มีทั้งความเงียบ ไม่มีทั้งความวุ่นวาย

แหล่งที่มา

WikiPedia: ธรรมกาย http://dharma-gateway.com/buddha/buddha-misc/bd-mi... http://mahayarn.exteen.com/20091014/entry-2%20-- http://www.mahaparamita.com/?p=485 http://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/... http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=32&A... http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A... http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=11&A... http://www.diri-au.org/download/seminar-2014/dhamm... http://www.mahapadma.org/index.php/2011-01-18-03-4... http://www.mahapadma.org/index.php/2011-01-18-03-4...